Travel & Adventure in Thailand – Tips, Food, and Culture โดย Sandy Freestyle

รีวิวเที่ยว Blue Mountains ตอนที่ 1 Scenic World ซิดนีย์ ออสเตรเลีย อย่างละเอียดสุดๆ โดย Sandy

ภาพแรกที่เห็น Blue Mountains เป็นหุบเขาใหญ่ พื้นป่าเขียวขจี ซึ่งเป็น สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงของประเทศออสเตรเลีย ที่ใครๆ ก็บอกว่าถ้ามา ซิดนีย์ แล้วละก็พลาดไม่ได้เชียว คราวนี้อะไรที่แรงดึงดูดว่าเราต้องไปเที่ยวภูเขากันละเนี้ย อย่างว่าที่นี่กว้างใหญ่ Sandy อยากรีวิวการเที่ยวอย่างละเอียด จึงแบ่งเป็น 2 ตอนนะคะ

ทำไมถึง เรียกว่า “ภูเขาสีฟ้า”  Blue Mountains

ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนว่า ภูเขาสีฟ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่ต้นไม้สีฟ้าน่ะ แต่เป็นสีฟ้าจางๆ หมอกควันที่ปกคลุมภูเขา ทั้งนี้เกิดจาก หยดน้ำมันยูคาลิปต์กระจายตัวรวมกับอนุภาคฝุ่นและไอน้ำในชั้นบรรยากาศ และกระจายแสงหักเหของแสง ซึ่งส่วนใหญ่สีออกเป็นสีน้ำเงินนั้นเอง

ไปเที่ยว Blue Mountains ทำไมกันเนี้ย?

ตอนแรกคิดว่าไปเที่ยวป่า ก็มีแต่ต้นไม้เขียว มองไปไหนก็มีแต่ภูเขา ทำไมฉันต้องไปเที่ยวที่นั้นเนี้ย!! ไหนๆ ก็เอาเถอะ Blue Mountains เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศว่า อุทยานแห่งชาติ Blue Mountainsได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก และมีพื้นที่ป่ากว่า 664,000 เอเคอร์ โดยล้อมรอบด้วยธารน้ำตก ภาพวาดหินอะบอริจินและเส้นทางเดินป่า 140 กิโลเมตร

จากใจ Sandy การไปเที่ยวไกลๆ สำหรับคนไม่มีรถ เราต้องทำใจว่าต้องนั่งรถไฟยาวนานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งเราทั้งเหนื่อยจากเวลาเรียนและการทำงานพิเศษ แล้วจะไปเที่ยวไกลๆ ก็คิดหนักอยู่เหมือนกัน

จนในที่สุดตัดสินใจไปเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในเดือนพฤษภาคม ตอนนั้นสภาพอากาศก็เริ่มหนาว เราเลือกไปเที่ยวช่วงนี้ เพราะหวังว่าจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้เปลี่ยนสีที่นั้นขึ้นชื่อเรื่องความสวยมากๆ ค่ะ

 

B l u e    M o u n t a i n s

เอาละอย่าเสียเวลากันเริ่มออกเดินทางกันเถอะ

การเดินทางไป Blue mountains

เริ่มการจากสถานีรถไฟ Central station ถึงสถานีรถไฟ Katoomba ตอนเวลา 8.00 – 10.19 นาฬิกา โดยใช้เวลา 2.20 ชั่วโมง เราก็นั่งหลับยาวเลยค่ะ

จากนั้นต่อด้วยรถบัสจาก สถานีรถไฟ Katoomba ไปอุทยาน Blue mountains ซึ่งสามารถไปต่อด้วยรถบัส 2 ประเภท 

สำหรับทริปนี้ เราซื้อทัวร์บัสแดง ข้อดีของมัน คือมีแพ็คเก็ต รถบัสแดงที่สามารถจอดได้ถึง 25 จุด แล้วยังนั่งกระเช้าไฟฟ้า ที่ Scenic ราคา $99 ถามว่าคุ้มไหม สำหรับเราต้องการขึ้นกระเช้าไฟฟ้าด้วยแล้ว คุ้มค่ะ!

นี้ยังไปไม่ถึง อุทยาน Blue Mountains หนาวมากๆ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเปลี่ยนฤดูอากาศเลยหนาวเย็นสุดๆ พอเดินออกจากสถานีรถไฟ ก็จะเจอร้านที่ขายตั๋วแพ็คเจ็ตทัวร์บัสแดงเลยค่ะ (นี่ถ้าหลงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วละนะ)

เราไปซื้อตั๋วที่ร้านนี้ละคะ หน้าร้านน่ารักเชียว
พอเข้าไปก็งงๆ ว่าจะซื้อยังไง คนขายใจดีอธิบายด้วยภาษาอังกฤษอย่างช้าๆ แนะนำให้ให้ซื้อตั๋วแพ็คเก็ตไปเลยได้ทั้งทัวร์บัส แล้วก็นั่งกระเช้าเที่ยว Scenic World ด้วย

คราวนี้ก็ออกเดินทางกันเลยค่ะจากจุดแรกในเมือง  Katoomba ป้ายรถบัสอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายตั๋วค่ะ

เมื่อเราจ่ายเงิน $99 สิ่งที่ได้ คือ หนังสือเป็นรายละเอียดการเดินทาง กำหนดการรถบัส และยังเป็นตั๋วรถบัส และที่สำคัญจะได้สายรัดข้อมือสำหรับเที่ยวใน Scenic World

เมื่อมาถึงเป้าหมายแรก จากคำแนะนำของคนขายตั๋วเขาบอกให้มาลง ที่นี่เป็นที่แรกในช่วงเช้าจะดีมาก ถ้ามาช่วงบ่ายๆ คนจะเยอะมาก จะเสียเวลารอ เพราะเที่ยวเสร็จจากที่นี่แล้วที่อื่นก็สบายๆ ชิลๆ

“สิ่งสำคัญสำหรับการเที่ยว 1 วันที่ คือ การบริหารเวลาดีๆ” 

รีวิวเที่ยว  Blue Mountains ที่ Scenic World

ขณะที่นั่งรถบัสแดง คนขับก็เป็นไกด์ทัวร์ให้เราไปด้วยในตัวค่ะ คุณลุงคนขับใจดีตลกด้วย ถึงจะไม่เข้าใจมุกลุงเท่าไรนัก แต่ก็ขำไปพร้อมๆ กัน ลุงคนขับก็ได้จะค่อยถามว่าจะลงป้ายนี้ไหม (ป้ายที่ 1-8) ซึ่งก็ไม่มีคนลง (ฮะฮ่ะฮ่า) เพราะ ไฮท์ไลน์อยู่ที่ ป้ายที่ 9 “Scenic World” ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกของเรา ขนาดคุณลุงคนขับยังบอกเลย เชื่อฉันเถอะเพราะ I am a Bus driver.

“คำแนะนำจากคนขายตั๋วว่า ให้ลงเครื่อง 1) Scenic Railway เดินต่อ 10 นาที ไปขึ้น  2) Scenic cableway  หรือเดินต่อที่ 4) Walkway ประมาณ 30 นาที เดินรอบป่า /หรือนั่งกระเช้า 3) Scenic Skyway

    S c e n i c    W o r l d

1. Scenic World ตั้งอยู่ในเทือกเขาบลูเมาน์เทนที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สวยงามด้วยทิวทัศน์มุมกว้างของป่ากว้างใหญ่น้ำตกสูงชันและป่าฝนเขตอบอุ่นยุค ดูแล้วคล้ายๆ ยุคจูราสสิค (ใครเคยดูหนังเรื่อง Jurassic Park นั้นเอง)

เดี๋ยวก่อนเรายังไม่เข้าไปข้างใน กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะคะ เราได้เตรียมของกินมาด้วย ด้วยความที่กลัวหิวแล้วค่อนข้างเป็นคนที่เรื่องมากเรื่องกินเลยต้องเตรียมของถูกใจไปด้วย ได้ดื่มไวตามิลชื่นใจสุดๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้เตรียมอาหารก็ไปซื้อที่นั่นได้ ข้างในมีห้องอาหารค่ะ

ก่อนจะเข้าไปที่ แวะถ่ายรูปเล่นเก็บบรรยายกาศด้านหน้า

นาฬิกาโบราณ เก๋ๆ สวยด้วย

ปีนี้รู้สึกว่าต้นไม้เปลี่ยนสีเริ่มร่วงโรยเร็วกว่าปีที่แล้ว ยังดีว่าเหลือให้ชื่นชมอยู่บ้าง

ด้านหน้าของ Scenic World แสงแดดกำลังดี ตกแต่งด้านหน้าก็สวยค่ะ รู้สึกว่ายังเช้าอยู่มีเวลาเลยไม่รีบชิลๆ

คราวนี้สังเกตเห็นว่า ด้านหน้ามีรถบัสสาย 686 ก็จอดที่นี่ด้วย ฉะนั้นถ้าไม่ต้องการซื้อตั๋วบัสแดงก็ แตะบัตรโอปอมาลงที่นี่ก็ได้

ต่อไปเราเข้ามาด้านใน Scenic World

ว๊าวว ข้างในคล้ายกับเป็น Station ของกระเช้าลอยฟ้า แล้วยังเป็นจุดที่เป็นทั้งมีขายตั๋วขึ้นกระเช้า และขายของที่ระลึก  แล้วยังมีจุดชมวิวด้วยค่ะ

ประสบการณ์สำรวจ  3 เส้นทาง 

I. Scenic Railway เรามุ่งหน้าไปที่ เครื่องรถรางที่จะพาเราไปชมวิวด้านล่าง จะผ่านประตูเข้าไป ต้องสแกนตั๋วที่ผูกติดกับข้อแขนของเรา ฉะนั้นตั๋วที่ข้อมือห้ามขาดเชียว (ฮะฮะฮ่า เตือนใคร เตือนตัวเองนี้ล่ะ)

ตอนแรกที่เห็นแบบว่า เครื่องนี้เหรอที่จะพาเราไต่ลงไปข้างล่าง ซึ่งที่นั่งเอียงๆ มันชันมาก ไม่มีเข็มขัดอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงราวกั้นที่โยกมาไว้หน้าตักของผู้โดยสาร ตัวนี้ล็อกตัวเราไว้ค่ะ เอาเข้าใจก็ปลอดภัยน่ะ

จากที่เห็นใครๆ เขานั่งเจ้านี้กันเราก็อยากลองบ้าง แบบว่านี้เป็นเป้าหมายหลักยิ่งกว่าไปดูภูเขาซะอีก

พอเริ่มรถรางเคลื่อนตัว แล้วมันก็พุ่งลง 70 องศา อย่างรวดเร็ว แต่ความรู้สึกมัน 90 องศาอ่ะ น่ากลัววววว อยากร้องกรี๊ด แต่กลัวคนเขาจะว่าเอาได้ไม่มีมารยาทเลยได้แต่กรี๊ดในใจ! แล้วเส้นทางนี้ยังลอดผ่านอุโมงค์ด้วยมืดๆด้วยค่ะ

เมื่อมาถึงข้างล่างก็สัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง กระเช้าที่นั่งสบายก้น การขับค่อนข้างนิ่ม แล้วเราสามารถนั่งกลับขึ้นไปได้อีกด้วยค่ะ จริงๆ ถ้าจะให้คุ้มนั่งเล่นอีกสัก 2-3 รอบคงจะดี อิ อิ อิ

ด้านหลังเป็นความสูงจากที่เราลงมา

เมื่อลงจากรถรางข้างหน้าก็เป็นภูเขาบลูเมาน์เทน และพื้นป่าสีเขียว ซึ่งเราได้สัมผัสถึงอากาศที่บริสุทธิ์ สุดปอดจริงๆ ค่ะ ถึงอากาศจะหนาวเย็น แต่มันก็ชื่นใจมากๆ

จากนี้เราจะเดินต่อไปตามป้ายที่เขาระบุบไว้ค่ะ ระหว่างที่เดินเราก็เห็นรถรางโบราณสมัยอดีต แต่เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นเหมืองถ่าน แล้วคนงานก็นั่งรถรางที่เป็นที่นั่งเล็กๆ นี้ลงมาข้างล่าง โห่เห็นแล้วสมัยนั้นช่างลำบากเสียเหลือเกิน แล้วตั้งนั่งเจ้านี้ทุกวัน ไม่รู้ว่าจะชินได้ไหม

!!!

สภาพรถรางเก่าๆ เป็นไม้จะเล็กๆแคบๆ

ข้างๆ กันก็เป็นสำนักงานถ่านหินเล็กๆ หรือน่าจะเป็นกระท่อมจำลองน่ะ

ตามเส้นทาง boardwalk มีการแสดงการทำงานเหมืองถ่านหินโบราณ ทางเข้าที่จะลงไปใต้ดิน

น่าทึ่งมาเลยค่ะ จากสถานที่ที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรแล้ว เค้าสามารถปรับให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งชาติได้ และมีการแสดงเรื่องเล่าประวัติของที่นี่

มีการจำลองวิถีแบบเก่า Sandy รู้สึกโชคดีว่าเลือกไปดูวันและเวลา คนไม่เยอะเลยมีเวลาถ่ายรูปเล่นแถวนั้นชิลๆ

สมัยนั้นใช้ม้าลากเหรอเนี้ย น่าสงสารม้าจัง

รูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของนักขุดและม้า

ระหว่างทางจะเห็นอุปการณ์ทำงานต่างๆ ของประวัติศาสตร์การขุดถ่านหิน

เดินตามทางนี้ไปเรื่อยๆ ชื่นชมป่าเขา ต้นไม้สูงมาก

ลักษณะป่าเป็นป่าดงดิบด้านล่างนี้จะเย็นมาก แต่ก็ยังพอมีแสงอาทิตย์ส่องมาถึง แล้วก็เงียบสงบมาก ซึ่งคุณสามารถออกไปเดินเล่นไปตามทางเดินชมทิวทัศน์ระยะทาง 2.4 กิโลเมตร (แต่เราไม่ไป อิ อิ อิ)

*Sculpture เสียดายว่าเราไม่อยากเสียเวลากับที่นี่มากนักเลยไม่ได้เดินลงไปชม “การจัดนิทรรศการกลางป่า” 

เราได้แค่ผ่านทาง Sculpture เท่านั้นไม่ได้เดินเข้าไป

ถ้าคุณเดินต่อ Scenic Walkway ไปจนสุดจะเจอน้ำตก Katoomba Falls หน้าตกที่มีสูงชัน สวยงามตั้งอยู่ระหว่าง Echo Point และ Scenic World ซึ่งสามารถชมจากที่สูงได้ด้วย Scenic Skyway แต่จะเดินลงไปก็ต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อยเลย (เลยขอยืมรูปเพื่อนมาแล้วกัน แฮะๆ) เลยตัดใจไม่ลงไปข้างล่างค่ะ

สำหรับการเดินมีป้ายบอกทางชัดเจนพร้อมทางเชื่อมไปยังสถานีเคเบิล Scenic cableway สถานีถัดไปที่เราจะนั่งเคเบิลไปชมทิวทัศน์สูงๆ

ตอนนี้เราจะกลับขึ้นไปยอดเขาแล้วค่ะ

II. Scenic Cableway

Cableway มีห้องโดยสารแบบให้ยืนที่ล้อมรอบด้วยกระจก สามารถชมวิวที่เป็นเอกลักษณ์เด่นอย่าง Three Sisters, Orphan Rock, Mt Solitary และ Katoomba Falls

ทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาบลูเมาท์เทน

Sandy เลือกที่ด้านหน้าสุดค่ะ

แล้วเจ้าเครื่องนี้ก็พาเรากลับมาที่ Station หลัก เราก็ยังงงๆ ว่าเอ๋ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เรากำลังอยู่ที่จุดแรกที่ขายของที่ระลึก หรือทางที่เราเข้ามานั้นเอง

งั้นไปกันต่อ เราจะนั่งเครื่อง Skyway

เป้าหมายต่อไปเราจะไปที่ หรือเครื่องเล่นสีเหลืองที่เห็นในรูป

จะขึ้นเครื่อง Skyway ก็เหมือนทุกครั้งเราก็ต้องสแกนตั๋วก่อน

III. Scenic Skyway เป็นเคเบิลคาร์ทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ (เค้าว่ามาอย่างนั้น ) ซึ่งมันก็ใหญ่จริงๆ ดูจากการจุคนได้เยอะขนาดนี้

ตรงกลางที่คนในภาพเหยียบอยู่ พื้นทำด้วยกระจกหนา สามารถมองเห็นด้านล่างได้ค่ะ ถึงจะไม่ชัดมากนัก

Skyway จะแล่นไปมาระหว่างยอดหน้าผา เรารู้สึกตื่นเต้นกับความสูงถึง 270 เมตร  สัมผัสความตระการตากับพื้นป่า สกายเวย์ทำให้เราได้ยืนอยู่เหนือหุบเขาค่ะ

เคเบิลคาร์นี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของป่าฝนและหน้าผา ขณะที่อยู่ข้างในสกายเวย์ เราสามารถเดินไปมาได้ เพื่อที่จะได้ดูวิวครบ 360 องศาค่ะ

พอมาถึงฝั่งตรงข้าม มองไปก็จะเห็น  Scenic World อยู่ไกลๆ โน้น

สกายเวย์ ก็จะแล่นไปมาระหว่างยอดหน้าผาทั้ง 2 ฝั่ง 

เมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็จะเห็นจุดชมวิว หุบเขา Blue Mountains ได้เหมือนกัน

 

สำหรับฝั่งนี้สามารถเดินเท้าไปต่อได้ที่จุดชมวิวหลัก Echo Point เพื่อมชม Three Sister หรือลุยต่อไปดูป่าและน้ำตกที่ Leuru หรือแม้กระทั่ง (ถ้าเดินเลี้ยวไปทางขวามือของ สกายเวย์ ) สามารถเดินกลับไปที่ป้ายบัสที่ 8 ที่รถบัสแดงขับก่อนถึงป้าย 9 Scenic World  

หลังจากนั้นเราก็ได้นั่ง สกายเวย์ กลับมาที่สเตชั่นหลัก แวะพักหาอาหารกิน ก็ไม่รู้ว่าจะสั่งเมนูอะไรดีเลยสั่งแบบง่ายๆ แฮมชีสและขนมปังไส้กรอกกับหอมใหญ่ 

พอกินอิ่มก็เห็นว่าใกล้ๆ โต๊ะอาหาร Outdoor ก็มีจุดชมวิวได้เหมือนกันค่ะ แต่ตรงนี้พื้นค่อนข้างสั่นๆ เลยเกาะราวจับซะแน่นเลย

จบรีวิวสั้นกับการเที่ยวที่ Scenic World ค่ะ 

เราจะขึ้นบัสแดงไปเที่ยวกันต่อค่ะ ยังมีอีกหลายที่ที่เราต้องไปให้ทันเวลาก่อนพระอาทิตย์จะลาลับฟ้า

บัสแดงจะจอดตามป้าย Explorer Bus โดยป้ายบัสจะแสดงตารางเวลารถและมีแผนที่เส้นทางการวิ่ง

แล้วรถบัสแดง 2 ชั้น ก็มาตามตารางเวลาแป๊ะเลยค่ะ

 

สรุปกิจกรรมที่ Scenic World 

 

1. Scenic Railway

 

2.  Scenic cableway

3.  Scenic Skyway

 

4. Walkway เดินป่า

 

เป้าหมายต่อไป : เที่ยว Blue Mountains ตอนที่ 2 >> คลิก

1. Echo point ชม Three Sister

2. เดินหาน้ำตกที่ Leura

 

 

Exit mobile version